Bmw Dot 4 Brake Fluid


Bmw Dot 4 Brake Fluid

Bmw Dot 4 Brake Fluid
BMW

CHeck Price

Castrol GT LMA Brake Fluid



Castrol GT LMA Brake Fluid - 32oz. 12504

Castrol GT LMA Brake Fluid - 32oz. 12504
Castrol
Check Price

ATE Super Blue Racing Brake Fluid Dot 4



ATE Super Blue Racing Brake Fluid Dot 4

ATE Super Blue Racing Brake Fluid Dot 4
ATE

Motul RBF 600 Racing Brake Fluid

Motul RBF 600 Racing Brake Fluid
B000AURZ08 Motul RBF 600 Racing Brake Fluid
Continental


B0011E2Y0I Motul RBF600 Synthetic DOT 4 Brake Fluid
Motul


B004LEYJO4 Motul 8068HL RBF 600 Factory Line Dot-4 100 Percent Synthetic Racing Brake Fluid - 500 ml
Motul


B007KPUBAM Motul RBF600 DOT 4 Racing Brake Fluid 500 ml bottle
Motul


B002JUMVQA Motul RBF 600 Racing Brake Fluid (Case 12 pack)
Motul


B000VJNYEY MOTUL RBF 600 PRO RACING BRAKE FLUID 1/2-LITER 847205 / 101667
Motul


B002JUMVQK Motul RBF 600 Racing Brake Fluid(2 Case 24 Pack)
Motul


B004LEWK0Y Motul 8068HL-12PK RBF 600 Factory Line Dot-4 100 Percent Synthetic Racing Brake Fluid - 500 ml, (Case Pack of 12)
Motul


B000WNZOA6 RBF 600 RACNG BRAKE FLUID
Motul


B000VJM1OI Motul EA/RBF600 BRAKE FLUID 1/2 LTR 8069HC / 100949

 

B005EN72DQ 10w-40 Motul 300V Synthetic Motorcycle Oil 4L w/ Free Lanyard
Motul

ATE 706302 Original Super Blue Racing DOT 4 Brake Fluid - 1 Liter

ATE 706302 Original Super Blue Racing DOT 4 Brake Fluid - 1 Liter



ATE 706302 Original Super Blue Racing DOT 4 Brake Fluid - 1 Liter


Check Price

ชนิดของผ้าดิสก์เบรค ( Brake Pads )

ชนิดของผ้าดิสก์เบรค ( Brake Pads )
ผ้าดิสก์เบรคที่มีจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดขณะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้
1. กลุ่มผ้าดิสก์เบรคราคาถูกทั่วไปที่มีส่วนผสมของสาร Asbestos หรือที่เรียกกันว่า "ผ้าใบ" จะมีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ คุณสมบัติในการเบรค จะใช้ได้ในความเร็วต่ำๆ หรือระยะต้นๆ แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการเบรคจะลดลงอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ อายุการใช้งานจะสั้น ผ้าดิสก์เบรคหมดเร็ว นอกจากนั้นแร่ใยหินมีผลต่อสุขภาพ ในปัจจุบันจึงมีการใช้น้อยลง
2. กลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสาร Asbestor หรือกลุ่ม Non-organic แบ่งออกเป็น 2ชนิด คือ
2.1 ชนิดที่มีส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นโลหะ (Semi-metallic) จะเป็นผ้าดิสก์เบรคของผู้ผลิตจากยุโรป หรืออเมริกา เช่น Bendix Mintex
2.2 ชนิดที่มีส่วนผสมของสารอนินทรีย์อื่นๆ จะเป็นผ้าดิสก์เบรคของผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเช่น Akebono
ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นผ้าดิสก์เบรคที่เกรดใกล้เคียงกัน

มาตรฐานน้ำมันเบรค

มาตรฐานน้ำมันเบรค
สมาคม วิศวกรยานยนต์ในอเมริกา (SAE) และกรมการขนส่งของอเมริกา (Department of Transporttation - DOT) และสมาคมกำหนดมาตรฐานระหว่างชาติ (ISO) ต่างก็ได้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเบรคที่ใช้ในระบบเบรคของยานพาหนะซึ่งเป็นที่ ยอมรับและใช้กันทั่วไป มาตรฐานล่าสุดในขณะนี้ (1982) ของ SAE คือ SAE 1703 Jan.'80 ที่ได้แก้ไขปรับปรุงจากมาตรฐาน SAE J1703f ซึ่งออกในปี 1978 ส่วนของ DOT คือมาตรฐาน U.S.Federal Motor Vehicle Safety Standard ( FMVSS) No.116 DOT3,DOT4 และDOT5 ( DOT5 เป็นมาตรฐานน้ำมันเบรคประเภทน้ำมันซิลิโคนไม่นิยมใช้งานในรถยนต์) มาตรฐานของ ISO คือ ISO 4925 - 1978 มาตรฐานต่างๆ ดังกล่าว ได้กำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของน้ำมันเบรคในยานยนต์ไว้หลายประการ คุณสมบัติที่สำคัญๆ ได้เปรียบเทียบไว้ในตารางแนบพร้อมกับค่า Typical Test Figure ของ น้ำมันเบรค เกรดต่างๆ
คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำมันเบรคที่มีผล ต่อสมรรถนะการเบรคก็คือ จุดเดือดเมื่อแห้ง เมื่อชื้นผลต่อยางแม่ปั๊มและลูกสูบเบรค และต่อส่วนต่างๆของระบบเบรค
ใน มาตรฐานทั้ง SAEJ1703 และ U.S.FMVSS 116 DOT3, DOT4 และ ISO 4925 - 1978 ได้กำหนดคุณสมบัติด้านจุดเดือดเมื่อแห้งและเมื่อชื้นเอาไว้โดยที่น้ำมันเบรค ที่ดีจะต้องมีจุดเดือดสูงเมื่อทั้งแห้งและชื้น


ที่มา:http://wisanuwat.blogspot.com/2009/12/brake-fluid.html

ทำไมต้องเปลี่ยน น้ำมันเบรค


ทำไมต้องเปลี่ยน
จากตัวอย่างการเกิดเบรคจมหรือเบรคไม่อยู่ขณะลงทางชันหรือลงจากเขา
ส่วนหนึ่งมาจากน้ำมันเบรคไม่สามารถทนความร้อน จากการเบรคในลักษณะการขับขี่ที่ไม่ถูกต้อง
หรือน้ำมันเบรคเสื่อมสภาพ (จุดเดือดต่ำลง)

ดังนั้นการที่ต้องทำให้น้ำมันเบรคมีจุดเดือดสูงนั้น
เนื่องจากว่าสารเคมีในน้ำมันเบรคมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น
ยิ่งในเขตที่มีความชื้นสูงอย่างประเทศไทย ความชื้นยิ่งมีโอกาสแทรกไปปนอยู่ในน้ำมันเบรคได้ง่ายขึ้น
โดยจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดลงตามลำดับ
ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจึงควรมีจุดเดือดสูงไว้ตั้งแต่แรก
ได้เคยมีผู้ทดลองไว้ว่าภายในระยะ 12-15 เดือน น้ำมันเบรคสามารถดูดซับความชื้น
ทำให้จุดเดือดลดลงเหลือประมาณ 140 องศาหรือต่ำกว่า
ซึ่งถ้าหากใช้ต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ได้
อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อมีการดูดซับความชื้นเข้าไปในระบบ (มีน้ำเข้าไป)
ก็จะทำให้เกิดสนิมได้เมื่อใช้ไปนานๆ

บางครั้งเมื่อเราเจอปัญหาเรื่องเบรคไม่อยู่หรือรั่ว ช่างก็จะถอดแม่ปั๊มเบรคออกมาดู
จะพบว่าลูกยางตาย เสื่อมสภาพ กระบอกสูบของแม่ปั๊มเบรคเป็นสนิมหรือตามด
ถ้าเกิดสนิมตามดเล็กน้อยก็สามารถใช้กระดาษลูบแก้ไข แต่ถ้ากินจนเนื้อหายก็ต้องเปลี่ยนทั้งแม่ปั๊ม
ท่านเจ้าของรถหลายท่าน รวมถึงช่างบางคนก็ยังไม่รู้ว่าสนิมเหล่านั้นมาได้อย่างไร


ปัจจุบันมีเครื่องวัดคุณภาพของน้ำมันเบรค
ว่าน้ำมันเบรคที่เราใช้อยู่นั้น ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ หรืออยู่ในส่วนที่เป็นอันตรายแล้ว
การวัดดังกล่าวใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่ 2-3 วินาทีก็สามารถรู้ได้ว่า น้ำมันเบรคเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง
การวัดสภาพน้ำมันเบรค สามารถปรับตั้งค่าการวัดที่ตัววัดสภาพน้ำมันเบรคได้
เนื่องจากคุณภาพน้ำมันเบรค เกรดน้ำมันเบรคแตกต่างกัน (DOT) แล้วแต่ผู้ให้บริการ
หรือศูนย์บริการซ่อมเลือกใช้


การวัดจากเครื่องวัดจะบอกเป็นตัวเลขและสภาพไปพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น
เลข “0” หมายถึง น้ำมันเบรคใหม่ (new oil)
เลข “1-2” น้ำมันเบรคปกติ (Normal)
เลข “3-4” ควรเปลี่ยน (Change)
เลข “5-6” อันตราย (Danger)



การเลือกเกรดน้ำมันเบรค ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อตามแต่จะเลือกใช้
ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้ยี่ห้อเดิม หรือตามที่ศูนย์บริการเปลี่ยนให้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ DOT4
สามารถดูได้ข้างกระป๋องว่าที่เราใช้อยู่นั้นเป็นเกรดหรือ DOT อะไร
การเลือกใช้น้ำมันเบรคที่มี DOT สูงกว่าไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด แต่จะมีค่าตัวสูงกว่าเดิมเล็กน้อย
การเปลี่ยนยี่ห้อน้ำมันจากที่เราเคยใช้อยู่นั้น ควรถ่ายของเดิมทิ้งให้หมด
แล้วเลือกเติมตามที่เราต้องการ แต่ควรเป็น DOT ที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น


ดังนั้น ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคตามระยะที่กำหนด
โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถด้วยความเร็วสูง ผู้ที่บรรทุกหนักหรือวิ่งทางลาดชันบ่อยๆ
และใช้งานเบรคหนักต่อเนื่องบ่อย ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคทุกๆ 1 ปี

ถ้าไม่แน่ใจก็ให้สอบถามตามศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไป
โดยระยะเวลาหรือระยะทางของแต่ละบริษัท อาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นพื้นฐานใกล้เคียงกัน

ดังนั้นอยากให้ผู้ใช้รถตระหนักถึงเรื่องน้ำมันเบรคด้วย
เพราะถ้าระบบเบรคมีปัญหาในช่วงคับขัน จะเกิดอันตรายทั้งร่างกายและทรัพย์สินของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร
รวมถึงบุคคลอื่นที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย


ที่มา: http://www.one2car.com

น้ำมันเบรค เรื่องที่ต้องรู้-Brake Fluid

น้ำมันเบรค เรื่องที่ต้องรู้

น้ำมันเบรค เรื่องที่ต้องรู้

ถ้าพูดถึงระบบเบรคที่ดีนั้นย่อมให้ความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ทั้งหลาย
ทั้งนี้นอกจากชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบเบรค ไม่ว่าจะเป็นจานเบรค แม่ปั๊มเบรค คาลิปเปอร์เบรค ผ้าเบรค
ที่ต้องปฏิบัติงานอย่างถูกต้องแล้ว น้ำมันเบรคที่จะใช้ในระบบเบรคก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง
ที่จะให้ความมั่นใจกับผู้ขับขี่ทุกครั้งที่มีการเหยียบเบรค

เริ่มทำความรู้จักกับน้ำมันเบรค (Brake Fluid) ที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้
ว่าคืออะไร ทำหน้าที่อะไร สำคัญเช่นไร
แล้วทำไมต้องดูแลหรือเปลี่ยนตามระยะเวลา หรือระยะทางตามที่กำหนด

น้ำมันเบรค คือของเหลวที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังโดยของเหลว
หรือเรียกว่าเป็นตัวไฮดรอลิกก็ได้

เมื่อเราเหยียบเบรคที่แป้นเบรค แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านของเหลว (น้ำมันเบรค) ในระบบ
ไปยังห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจะทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ

น้ำมันเบรคที่ดีนอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง (ไฮดรอลิก) จากแป้นเหยียบเบรคแล้ว
ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกดังนี้

เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรค เช่น แม่ปั๊มเบรคและลูกปั๊มเบรค
เนื่องจากต้องมีการเสียดสีของลูกสูบเบรค ลูกยางเบรค ภายในแม่ปั๊มเบรค ลูกปั๊มเบรค นับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าปราศจากการหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอ เกิดการรั่วภายหลังได้

มีความหนืดที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ได้ในอุณหภูมิต่างๆ ไม่ว่าร้อนหรือเย็น
มีความหนืดที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ข้นเกินไปแม้ว่าจะใช้ในอุณหภูมิติดลบ

ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
เนื่องจากระบบเบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่สำคัญ
ถ้าการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ในส่วนของไฮดรอลิกบกพร่องจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสนิมในระบบสร้างแรงดัน หรือลูกยางเสื่อมสภาพ

มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยได้ง่าย
คุณสมบัตินี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เป็นตัวบอกว่า น้ำมันเบรคยังคงมีสภาพใช้งานได้อยู่หรือไม่
จุดเดือดสูงก็จะเสื่อมสภาพได้ยากกว่า และทนต่อแรงดันจากการที่เหยียบแรงๆ ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

คงสภาพได้นาน หมายถึงรักษาคุณสมบัติต่างๆ ได้นานไม่ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
เช่นเรื่องของความชื้น หรือเกิดจากการใช้งานปกติ


มาตรฐานด้านความปลอดภัยได้กำหนดชื่อมาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรคว่า
DOT (Department of Transportation) ที่เรียกจนติดปาก
โดยกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรก DOT3 ไม่ต่ำกว่า 205 องศาเซลเซียส
DOT4 ไม่ต่ำกว่า 230 องศาเซลเซียส DOT5 260 องศาเซลเซียส


สำคัญอย่างไร
จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจะเห็นได้ว่า จุดเดือดของน้ำมันเบรคเป็นสิ่งสำคัญ
เนื่องจากเวลาเราเหยียบเบรคที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรคและจานเบรคจะสูงมาก
ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรคด้วย
ถ้าน้ำมันเบรคมีจุดเดือดต่ำจะสามารถระเหยและกลายเป็นไอได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง
หรือทำหน้าที่ไฮดรอลิกในระบบเบรคได้ จะทำให้เกิดเบรคไม่อยู่ เบรคจมหรือเรียกว่าเบรคแตก


ยกตัวอย่างการขับขี่ที่ใช้เบรคมากกว่าปกติ นั่นคือการใช้เบรคขณะลงเขา
กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ถ้าผู้ขับขี่ไม่ระวัง หรือใช้เบรคมากจนเกินไป
การลงเขาที่ถูกต้องนั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าข้างทางจะมีป้ายเตือนให้ผู้ขับรถใช้เกียร์ต่ำ
ดังนั้นการใช้เกียร์ต่ำ ก็คือการให้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยในการเบรคนั่นเอง (Engine Brake)
การทำดังกล่าวจะเป็นการช่วยลดภาระของระบบเบรคได้มากทีเดียว

การใช้เกียร์ต่ำคือการลดเกียร์ลง เช่นกรณีใช้เกียร์สี่อยู่ก็ให้ลดมาที่เกียร์สามหรือเกียร์สอง
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเวลาลดเกียร์ รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น นั่นก็คือการใช้เครื่องยนต์เป็นตัวช่วยเบรค
การทำดังกล่าวก็สามารถทำกับเกียร์อัตโนมัติได้เช่นกัน โดยดึงคันเกียร์จาก D มาที่ 3 หรือ 2
แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ฉุดรั้งไว้ พร้อมทั้งเหยียบเบรคช่วย จะทำให้อุณหภูมิเบรคไม่ร้อนจนเกินไป


สำหรับท่านที่ใช้เบรคมากเกินไปจนรู้สึกว่าเบรคไม่อยู่ หรือได้กลิ่นไหม้จากการเบรค
ให้รีบจอดรถข้างทาง รอจนกว่าเบรคจะเย็นหรือประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย
ลองทดสอบเบรคดู ถ้าเบรคอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ ขับต่อโดยขับช้าๆ พร้อมใช้เกียร์ต่ำ และเบรคเท่าที่จำเป็น
การขับรถช้าๆ ความเร็วของรถจะไม่สูง ดังนั้นการใช้เบรคก็จะน้อยตามไปด้วย

credit :http://www.bloggang.com